กินยาระบายอย่างไรให้ปลอดภัย

ยาระบายอาจเป็นคำตอบแรกๆ สำหรับคนที่ประสบกับภาวะขับถ่ายยาก หรือที่เรียกกันว่า ท้องผูกซึ่งเป็นความผิดปกติของการขับถ่ายอุจจาระ มีลักษณะอาการคือ ถ่ายอุจจาระน้อยกว่า 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือถ่ายอุจจาระลำบาก ใช้เวลาเบ่งนานกว่าปกติ หรือถ่ายอุจจาระแข็งภาวะท้องผูกสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ทุกเพศทุกวัย แต่มักพบบ่อยในผู้สูงอายุ ผู้ที่ไม่ค่อยเคลื่อนไหวร่างกาย ผู้ที่รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย และผู้ที่ดื่มน้ำน้อย แต่ทราบหรือไม่ว่าการพึ่งพายาระบายอย่างต่อเนื่องส่งผลกระทบอย่างไรต่อร่างกายของเราบ้าง และนี่คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับร่างกายของเราหลังทานยาระบายทุกวันติดต่อกัน
 
 
ยาระบายคืออะไร
 
แม้แต่คนที่ถ่ายอุจจาระเป็นประจำก็อาจจำเป็นต้องใช้ยาระบายบ้างเป็นครั้งคราว ยาระบายเปรียบเสมือนโค้ชส่วนตัวของร่างกาย คอยกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานเมื่อจำเป็น ในทางเทคนิคแล้วยาระบายคือยาหรือการรักษาที่ช่วยให้อาการท้องผูกดีขึ้น โดยทำให้อุจจาระอ่อนนุ่มและขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
 
ยาระบายมีกี่ชนิด
 
ยาระบายไม่ได้มีแค่ชนิดเดียว แต่ละแบบก็มีกลไกการออกฤทธิ์ต่างกัน ไปดูกันดีกว่าว่ามีแบบไหนบ้าง ช่วยเราให้ขับถ่ายสบายได้อย่างไร
 
1. ยาระบายเพิ่มกากใย (Bulk-forming laxatives)
 
ทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำ ช่วยดูดน้ำเข้าสู่ลำไส้ เพิ่มปริมาณอุจจาระให้อ่อนนุ่ม ขับถ่ายง่ายขึ้น ตัวอย่าง ไซเลียม (Psyllium), เมทิลเซลลูโลส (Methylcellulose)
 
2. ยาระบายกระตุ้นลำไส้ (Stimulant laxatives)
 
กระตุ้นให้ลำไส้บีบตัวเคลื่อนไหว ส่งผลให้อุจจาระเคลื่อนผ่านเร็วขึ้น ตัวอย่าง บิซาโคดิล (Bisacodyl), เสน่ (Senna)
 
3. ยาระบายดึงน้ำ (Osmotic laxatives)
 
ดึงน้ำจากผนังลำไส้เข้าสู่ช่องลำไส้ ทำให้อุจจาระอ่อนนุ่ม ขับถ่ายง่าย ตัวอย่าง แล็กทูโลส (Lactulose), โพลีเอทิลีนไกลคอล (Polyethylene glycol)
 
4. ยาระบายเพิ่มความชุ่ม (Stool softeners)
 
เติมความชุ่มชื้นให้อุจจาระ ป้องกันการแข็งตัว ทำให้ขับถ่ายง่าย ตัวอย่าง โดคิวเสท (Docusate)
 
5. ยาระบายเคลือบลำไส้ (Lubricant laxatives)
 
สร้างชั้นฟิล์มเคลือบผิวอุจจาระและผนังลำไส้ ลดแรงเสียดทาน ช่วยให้อุจจาระผ่านลำไส้ได้ลื่นไหล ตัวอย่าง น้ำมันแร่ (Mineral oil)
 
6. ยาระบายกระตุ้นเซโรโทนิน (Serotonin 5-HT4 agonists)
 
กระตุ้นการหลั่งน้ำในลำไส้มากขึ้น ขับเคลื่อนอุจจาระเร็วขึ้น ตัวอย่าง พรูคาโลไพรด์ (Prucalopride)
 
 
เลือกใช้ยาระบายอย่างปลอดภัย
 
แม้ยาระบายจะช่วยคลายกังวลเรื่องท้องผูก แต่ก็ต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง ไม่ควรใช้ติดต่อกันนาน อาจส่งผลข้างเคียง ท้องเสีย ปวดท้อง คลื่นไส้ เป็นต้น หากมีอาการท้องผูกเรื้อรัง ควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาที่เหมาะสม นอกจากยาระบายแล้ว ปรับพฤติกรรมการกิน ดื่มน้ำ กินอาหารกากใยสูง ออกกำลังกาย และเข้าห้องน้ำเป็นเวลา ก็ช่วยให้ระบบขับถ่ายราบรื่นได้
 
วิธีใช้ยาระบาย
 
ยาระบายสามารถรับประทานได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิดและผลิตภัณฑ์เฉพาะ โดยทั่วไป ยาระบายจะอยู่ในรูปรับประทาน เช่น ยาเม็ด ของเหลว และผงที่สามารถผสมกับน้ำ ยาเหล่านี้มักรับประทานทางปากตามคำแนะนำบนฉลากหรือโดยแพทย์ ยาระบายบางชนิด เช่น ยาระบายประเภทดึงน้ำบางชนิด อาจอยู่ในรูปสวนทวารหรือยาเหน็บทวาร ยาเหล่านี้จะสอดเข้าไปในทวารหนักโดยตรง
 
วิธีรับประทานยาระบายแบบรับประทาน
 
  • อ่านฉลากยาอย่างละเอียดก่อนรับประทานยาระบายทุกชนิด
  • รับประทานยาระบายตามปริมาณที่แนะนำบนฉลากหรือโดยแพทย์
  • หากรับประทานยาระบายชนิดเม็ด กลืนยาทั้งเม็ด อย่าบดหรือเคี้ยวยา
  • หากรับประทานยาระบายชนิดของเหลว เขย่าขวดยาก่อนรับประทาน
  • หากรับประทานยาระบายชนิดผง ผสมผงยากับน้ำตามปริมาณที่แนะนำบนฉลาก
  • วิธีรับประทานยาระบายแบบสวนทวารหรือยาเหน็บทวาร
  • อ่านฉลากยาอย่างละเอียดก่อนใช้ยาระบายประเภทสวนทวารหรือยาเหน็บทวารทุกชนิด
  • ล้างมือให้สะอาดก่อนใช้ยาระบาย
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำบนฉลากหรือโดยแพทย์อย่างระมัดระวัง
  • ข้อควรระวังในการใช้ยาระบาย
  • ไม่ควรใช้ยาระบายติดต่อกันนานกว่า 7 วัน
  • หากมีอาการท้องเสีย ปวดท้อง หรือปวดหัว ควรหยุดใช้ยาระบายและปรึกษาแพทย์

 

 
 
ไม่ควรใช้ยาระบายหากมีอาการดังต่อไปนี้
 
  • ท้องเสีย
  • ปวดท้องรุนแรง
  • แพ้ยาระบาย
  • มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน
  • ทางเลือกอื่นๆ ในการบรรเทาอาการท้องผูก
  • นอกจากการใช้ยาระบายแล้ว ยังมีวิธีอื่นๆ ในการบรรเทาอาการท้องผูกได้ เช่น
 
ดื่มน้ำให้เพียงพอ
 
  • รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ธัญพืช
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการขับถ่าย เช่น เข้าห้องน้ำให้เป็นเวลา
  • ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาระบาย
  • การใช้ยาระบาย โดยเฉพาะการใช้เป็นประจำอย่างต่อเนื่อง อาจมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ ต่อไปนี้คือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาระบาย ควรพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจใช้ยาระบายเป็นส่วนหนึ่งของกิจวัตรประจำวัน
 
ผลข้างเคียงทั่วไป
 
  • ท้องเสีย
  • ปวดท้อง
  • คลื่นไส้
  • อาเจียน
  • ปวดหัว
  • อ่อนเพลีย
  • ระคายเคืองลำไส้
  • ขาดน้ำ
ผลข้างเคียงที่รุนแรง
 
  • ภาวะขาดน้ำรุนแรง
  • ภาวะอิเล็กโทรไลต์ผิดปกติ
  • ภาวะอุดตันของลำไส้
  • ลำไส้ทะลุ
  • หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • ความดันโลหิตสูง
  • อาการแพ้
 
กลุ่มคนที่ควรระมัดระวังการใช้ยาระบาย
 
  • ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ เช่น โรคไต โรคตับ โรคหัวใจ โรคเบาหวาน
  • ผู้ที่รับประทานยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันโลหิต ยาขับปัสสาวะ ยาถ่ายพยาธิ
  • ผู้ที่มีอาการท้องเสีย
  • ผู้ที่มีอาการปวดท้องรุนแรง

บทความอื่นๆ

สินค้าใหม่