“เมื่อแรกรักน้ำต้มผักยังว่าหวาน เมื่อจืดจางน้ำตาลยังว่าขม” บรรดาคนมีความรักทั้งหลายน่าจะเคยได้ยินคำกล่าวข้างต้นกันมาบ้าง แน่นอนว่าคู่รักที่ยังอยู่ในช่วงคลั่งรักกัน น้ำต้มผักก็ยังคงหวานสำหรับพวกเขา ในขณะที่อีกหลาย ๆ คู่ได้ลิ้มรสชาติ “น้ำตาลที่ขม” แล้วว่าเป็นอย่างไร
จริง ๆ มันเป็นเรื่องปกติที่ว่า “รักได้ วันหนึ่งก็หมดรักได้” โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่รักที่คบกันมายาวนาน อาจเจอเข้ากับปรากฏการณ์ประหลาดที่เมื่อวานก็ยังรักกันดี ๆ อยู่เลย แต่จู่ ๆ วันนี้ก็มีความรู้สึกที่แตกต่างออกไป มีความไม่มั่นใจในความรักและตัวคนรักขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วก็กลายเป็นว่าเรื่องธรรมดาที่อีกฝ่ายเป็น ซึ่งเราเคยพอใจหรือรับได้ กลับตาลปัตรเป็นสิ่งที่เราไม่ปลื้มและไม่อยากจะทนขึ้นมาซะดื้อ ๆ ปรากฏการณ์แบบนี้ หลาย ๆ คนนิยามมันว่า “ความรักถึงจุดอิ่มตัว” ซึ่งหากมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถึงจุดอิ่มตัวก่อน มันจะทำให้ความรักของคนทั้งสองคน “ไม่เท่ากัน”
“จุดอิ่มตัว” เป็นระยะที่เริ่มสับสนในความสัมพันธ์ ในใจลังเลว่าจะไปต่อหรือพอแค่นี้ ซึ่งจริง ๆ แล้วก่อนที่อาการจะหนักจนถึงขั้นคิดว่าจะเลิกดีหรือไม่นั้น มันมักจะมีสัญญาณเตือนบางอย่างเกิดขึ้นล่วงหน้ามาก่อนแล้ว เพียงแต่เราไม่เคยเอ๊ะ! กับมันมาก่อน หรืออาจเกิดจากการสะสมของนานาปัญหาคู่รักที่แก้ได้บ้างไม่ได้บ้าง คุยกันรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง จนกระทั่งมันค่อย ๆ กัดกร่อนความสัมพันธ์ไปเรื่อย ๆ และเข้าสู่ภาวะเรื้อรัง ด้วยความที่จุดเริ่มต้นของอาการอิ่มตัว มันเป็นเรื่องปกติที่อาจเกิดขึ้นได้ในความสัมพันธ์ เราจึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสัญญาณเตือน คิดว่าแค่ไม่เข้าใจกันปกติ ปรับจูนกันหรืองอนง้อกันไปมาเดี๋ยวมันก็เข้าที่ กว่าจะรู้ว่าความสัมพันธ์นี้เกินเยียวยา ก็ประคับประคองไม่อยู่แล้ว
ทีนี้ลองมาเช็กความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับคนรักดูหน่อยดีกว่ามีสัญญาณเตือนอะไรบ้างที่ส่อเค้าว่ารักดี ๆ กำลังจะกลายเป็นความเบื่อ ความหน่าย ไร้ความรู้สึก และเตรียมเข้าสู่ช่วงอิ่มตัว ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว จุดอิ่มตัวเนี่ยน่าจะน่ากลัวกว่ามือที่สามเสียอีกนะ เพราะมันเป็นความรู้สึกที่ไม่ได้มีปัจจัยมาจากคนอื่นที่อาจทำให้เราหวั่นไหวไปชั่ววูบ แต่มันเกิดขึ้นภายในใจของเราว่าพอแล้ว พอเถอะ ไม่ไหวแล้วกับคนคนนี้ ถึงจะเคยรักมากแค่ไหน แต่วันนี้มันไม่ใช่แล้ว พูดง่าย ๆ ก็คือ มันไม่ต่างอะไรกับการที่เรากินข้าวจนอิ่มแปล้ เราก็ไม่อยากที่จะกินอะไรเข้าไปเพิ่มอีกแล้ว และยิ่งถ้าดันทุรังยัดอาหารเข้าไปเพิ่ม ร่างกายเราก็จะปฏิเสธเพราะรับไม่ไหว สุดท้ายก็มีแต่จะล้นออกมาด้วยการอาเจียนเท่านั้น
1. เริ่มรู้ตัวเองว่าความรู้สึกที่มีให้อีกฝ่ายไม่เหมือนเดิม
ลองนึกย้อนไปเมื่อนานมาแล้ว ยังจำความรู้สึกตอนที่รักกันใหม่ ๆ ได้ไหมว่าเป็นอย่างไร ลองเอามาเทียบกับตอนนี้ดูสิ ถ้าเห็นความต่างชัดเจนก็ใช่เลย จริงอยู่ที่ว่าคู่รักที่คบกันมานาน ๆ ความตื่นเต้น ความเร่าร้อนบางอย่างในความสัมพันธ์มันย่อมลดลงไปบ้าง แต่มันจะไม่ถึงขั้นหายไปชนิดที่เรายังรู้ตัวเลยว่ามันไม่เหมือนเดิมแล้ว อาทิ ความตื่นเต้น ความกระตือรือร้น ความโหยหาความรัก และที่แย่ไปกว่านั้นคือความสำคัญ คนที่เคยสำคัญสำหรับเรากลายเป็นคนที่ไม่มีก็อยู่ได้ คนที่เคยอยากเจอ อยากอยู่ด้วยกัน กลายเป็นคนที่เราปฏิเสธ แล้วอยากอยู่คนเดียวหรืออยู่กับคนอื่นมากกว่า
2. เริ่มมีสิ่งอื่นที่เข้ามาแทนที่ความสุขนั้น
ก็เพราะในใจเราลดระดับความสำคัญของคนรักลงมาแล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่ที่อีกฝ่ายเคยครอบครองจึงเริ่มมีสิ่งอื่น ๆ เข้ามาแทนที่ โดยที่เราเองเป็นคนเคลียร์พื้นที่นั้นให้โล่งเอง ซึ่งในที่นี้สิ่งที่เข้ามาแทนที่นั้นสามารถเป็นอะไรก็ได้ อาจจะเป็นงาน เพื่อน ครอบครัว หรือแม้กระทั่งตัวเอง (ไม่ได้แปลว่าเรามีคนใหม่แล้วเสมอไปนะ) กลายเป็นว่าเราให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านั้นมากกว่าคนรักทั้งที่แต่ก่อนแทบขาดกันไม่ได้ด้วยซ้ำ หายไปก็ไม่ตามหา ไม่เจอก็ไม่คิดถึง ไม่รู้สึกโหยหาแต่อย่างใด หรือสนใจเรื่องของตัวเองมากขึ้น เพราะรู้สึกว่าอยู่กับตัวเองหรือทำอะไรอย่างอื่นมันมีความสุขกว่า
3. พร้อมที่จะเปิดศึกกันทุกเมื่อ
ความรักมักมาพร้อมกับปัญหาเสมอ นั่นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วคู่รักทุกคู่จะมีปัญหาเดิม ๆ ที่ไม่เคยแก้ไขกันจริงจัง เวลาดีกันก็ซุกไว้ใต้พรม แต่เวลาทะเลาะกันก็ขุดคุ้ยเอามาทำร้ายกันอยู่เสมอ ๆ ปัญหานั้นก็เลยกลายเป็นระเบิดเวลาที่พร้อมทำงาน ยิ่งพอมาเจอกับช่วงที่เริ่มสับสนว่าจะอยู่หรือจะไป อะไรที่เคยทำแล้วถูก อยู่ดี ๆ ก็ผิดกันไปทุกเรื่อง เรื่องเล็กก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ หรือมีอะไรที่ขุ่นข้องหมองใจกันนิดหน่อย มันก็กลายเป็นประเด็นให้เก็บมาคิดเล็กคิดน้อย พร้อมเปิดศึกทะเลาะกัน มิหนำซ้ำยังเป็นการทะเลาะกันที่ไม่ค่อยอยากจะปรับความเข้าใจกันด้วย
4. ไม่ค่อยอยากที่จะสื่อสารกัน
ตอนที่รักกันดี ๆ ถ้าหายใจเข้าแล้วคิดถึง หายใจออกก็จะโทรหรือแชตหา คุยกันจนไม่ได้หลับไม่ได้นอน แต่หลัง ๆ มา ตั้งแต่ไม่ค่อยคิดถึงกัน การพูดคุยที่เคยใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนก็หายไปด้วย เริ่มไม่คุยกัน คุยกันน้อยลง ยิ่งถ้าทะเลาะกัน หลังจากสาดถ้อยคำทำร้ายกันแล้ว ก็ไม่คิดจะคุยปรับความเข้าใจ รู้สึกไม่อยากพูด เหนื่อย รำคาญ ช่างมัน ซึ่งลักษณะอาการมันจะต่างจากคนที่งอนหรือโกรธกันอยู่ คือไม่ได้งอน หายโกรธแล้ว แต่ไม่อยากคุย ไม่อยากเห็นหน้า และมักจะเลี่ยงการเจอหน้ากัน พอห่างเหินกันไปเรื่อย ๆ มีอะไรไม่สื่อสาร ความรักก็จืดจางลง เหลือแค่รอวันบอกเลิกเท่านั้น |