ทุกครัวเรือนในปัจจุบันนี้น่าจะมีเตารีดใช้กันทั้งนั้น ซึ่งปัจจุบันเตารีดได้มีการพัฒนามาเป็นเตารีดไอน้ำเพื่อให้ประสิทธิภาพการรีดที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ซึ่งใครกำลังสนใจจะซื้อเตารีดไอน้ำแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหน เราจะพาไปดูวิธีการเลือกซื้อเพื่อได้ของคุณภาพใช้งานไปได้ยาว ๆ กันครับ ก่อนอื่นเรามาดูกันก่อนว่าเตารีดธรรมดามีความแตกต่างจากเตารีดไอน้ำอย่างไรบ้าง
คุณสมบัติเตารีดธรรมดา
เตารีดแบบธรรมดาหรือที่เรียกกันอีกอย่างว่าเตารีดแห้ง มีชนิดเบาและชนิดมีน้ำหนัก โดยเตารีดชนิดเบา มีน้ำหนักประมาณ 1.5 ปอนด์ โครงสร้างทั่วไปเป็นพลาสติกเหมาะสำหรับผ้าเนื้อบาง เช่น ไนล่อน ชีฟอง โพลี่ ผ้าไหม ที่ไม่ต้องการแรงกดทับมาก ส่วนเตารีดชนิดมีน้ำหนักมีน้ำหนักกดทับ ตั้งแต่ 2.0 , 3.5 ,และ 4.5 ปอนด์ โครงสร้าง โดยรวมเป็นโลหะและด้ามจับจะเป็นพลาสติก แผ่นความร้อนหนาขึ้น เหมาะสำหรับผ้าที่ต้องการแรงกดทับสูง เช่นพวกผ้าพวกคอตตอน 100% ผ้าลินิน ทั้ง 2 แบบเวลารีดผ้าต้องฉีดน้ำก่อนทุกครั้งเพื่อให้เส้นใยเรียงตัว
คุณสมบัติเตารีดไอน้ำ
เตารีดไอน้ำเป็นเตารีดที่สามารถสร้างไอน้ำด้วยตัวเอง ช่วยให้การรีดผ้าง่ายขึ้น เร็วขึ้น โดยไอน้ำจะทำให้ใยผ้าคลายตัว มีช่องบรรจุน้ำในตัวเพื่อใช้สร้างไอน้ำ สามารถสร้างไอน้ำต่อเนื่องได้หลายระดับพร้อมทั้งฉีดพรมน้ำระหว่างรีดได้ หลักการทำงานทั่ว ๆ ไปของเตารีดชนิดนี้คือการหยดน้ำลงบนแผ่นความร้อนจนเกิดไอน้ำ แล้วพ่นออกทางรูหน้าเตา
ทั้งนี้เตารีดไอน้ำก็แบ่งออกไปอีก2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ เตารีดไอน้ำธรรมดาทั่วไปรูปทรงเหมือนเตารีดปกติทั่วไป แต่มีรูสำหรับปล่อยไอน้ำออกมาเพื่อช่วยให้รีดผ้าง่ายขึ้น กับเตารีดไอน้ำแบบที่มีสายพ่นเป็นทรงตั้งสำหรับแขวนไม้แขวนเสื้อแล้วรีดผ้าได้เลยโดยไม่ต้องใช้ที่รองรีด
เมื่อรู้ข้อแตกต่างของเตารีดธรรมดากับเตารีดไอน้ำกันไปแล้ว ก็คงทราบถึงข้อดีที่น่าใช้ของเตารีดไอน้ำด้วยเช่นกัน ดังนั้นก่อนที่จะเป็นเจ้าของลองมาดูวิธีเลือกซื้อกันก่อนดีกว่าเพื่อที่จะได้เตารีดไอน้ำที่ถูกใจและคุ้มค่าที่สุด
1. น้ำหนักของตัวเครื่อง
เตารีดที่ดีควรมีน้ำหนักที่พอเหมาะกับผู้ใช้เพื่อลดความล้าในการใช้งานติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ แต่ในอีกมุมหนึ่งหากเตารีดมีน้ำหนักเบาเกินไปอาจจะทำให้ผู้ใช้ต้องออกแรงรีดมากกว่าเดิม ดังนั้นควรบาลานซ์น้ำหนักให้ดีและเผื่อน้ำหนักหลังใส่น้ำเข้าไปในถังด้วย
2. การออกแบบของถังน้ำ
ส่วนของถังเก็บน้ำควรเป็นแบบโปร่งใสเพื่อให้ผู้ใช้สังเกตปริมาณของน้ำได้ง่ายว่าเหลือมากหรือน้อยเพียงใด เพราะการปล่อยให้น้ำแห้งเสี่ยงต่อการเกิดความเสียหายทั้งกับเนื้อผ้าและตัวเครื่องเอง โดยเตารีดไอน้ำที่มีถังน้ำขนาดเล็กจะให้แรงดันไอน้ำต่ำกว่าเตารีดไอน้ำที่มีถังน้ำขนาดใหญ่
3. จุดพ่นไอน้ำแยกและวัสดุหน้าเตารีด
เพื่อการใช้งานที่ครอบคลุมมากขึ้น ควรเลือกเตารีดที่มีปุ่มกดพ่นไอน้ำแยกต่างหาก เพื่อใช้ในรีดเสื้อผ้าที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ อย่าง ผ้าลินิน หรือ ผ้าเนื้อแข็ง เช่น ผ้าเดนิม ส่วนถ้าอยากให้การรีดลื่น ๆ ไม่เปลืองแรง หน้าเตารีดควรเลือกวัสดุเป็น อะลูมิเนียม หรือสแตนเลส จะช่วยได้มากเลยทีเดียว
4. จำนวนช่องพ่นไอน้ำของเตารีดไอน้ำ
บริเวณด้านหน้าเตารีดไอน้ำจะมีรูเล็ก ๆ อยู่ โดยรูเหล่านั้นมีหน้าที่สำหรับพ่นไอน้ำออกมาระหว่างที่รีดนั่นเอง ซึ่งหลังจากที่เสียบปลั๊ก น้ำจะไหลผ่านหน้าเตารีดทำให้เกิดไอน้ำออกมา ยิ่งมีช่องเหล่านี้มากเท่าไหร่ ไอน้ำก็จะออกมาหลายทิศทางมากขึ้นเท่านั้้น ทำให้ใช้แรงในการรีดน้อยลง เสื้อผ้าเนียนเรียบมากขึ้น
5. ระบบกำจัดคราบตะกรัน
การใช้น้ำประปาใส่ไปในถังของเตารีดไอน้ำ ผลที่ได้คือมักมีคราบตะกรันตกค้างอยู่ เพราะน้ำประปามีความกระด้างสูง เวลาที่คราบตะกรันละลายออกมากับไอน้ำเป็นปัญหาที่ทำให้ผ้าสกปรก ดังนั้นควรเลือกเตารีดไอน้ำที่มีระบบกำจัดคราบตะกรันในตัวเอง เพื่อเสื้อผ้าที่สะอาดเนียนเรียบและรักษาสภาพรวมถึงอายุการใช้งานของเตารีดให้คงทนที่สุด
6. จำนวนวัตต์
หากที่บ้านมีจำนวนเสื้อผ้าไม่มากนัก สามารถใช้เตารีดไอน้ำที่มีจำนวนวัตต์ไม่เกิน 1,600 วัตต์ ก็เพียงพอ แต่ถ้าหากครอบครัวไหนมีเสื้อผ้ามากและรีดบ่อย ขอแนะนำว่าให้เลือกใช้เตารีดไฟฟ้าที่มีขนาด 2,000 วัตต์ ขึ้นไป เพื่อความรวดเร็วในการรีด |