ภูเขาไฟในไทยจะมีโอกาสปะทุซ้ำหรือไม่

จากการเกิดภัยธรรมชาติภูเขาไฟระเบิดของภูเขาไฟตองกา เมื่อวันที่ 15 มกราคม 2565 ส่งผลให้เกิดควันภูเขาไฟและเถ้าถ่านที่เป็นมลพิษทางอากาศ พุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้าไปไกลได้ถึงประมาณ 20 กิโลเมตร และเกิดคลื่นสึนามิสูงถึง 15 เมตร ซัดเข้าชายฝั่งของเกาะแมงโก้ ทำให้หมู่บ้านแห่งหนึ่งบนเกาะหายไปแทบทั้งหมู่บ้าน เหตุภูเขาไฟระเบิดผลกระทบที่เกิดขึ้นรุนแรงจนทั้งเกาะถูกตัดขาดจากโลกภายนอกไปช่วงระยะหนึ่ง และอีกหลายประเทศที่ชายฝั่งติดมหาสมุทรแปซิฟิกได้รับความเสียหายรุนแรงจากภูเขาไฟปะทุลูกนี้
 
 
แม้ว่าประเทศไทยไม่ได้รับผลกระทบ เพราะจุดภูเขาไฟใต้ทะเลระเบิดอยู่ห่างจากชายฝั่งของไทยไปประมาณ 9,500 กิโลเมตร แต่ก็ต้องมีการจับตามองและเฝ้าระวัง เพื่อป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด 
 
ข่าวการเกิดภูเขาไฟหลายแห่งที่ยังคุกรุ่นอยู่นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นภูเขาไฟที่ตั้งอยู่บนเทือกเขารอบมหาสมุทรแปซิฟิก หรือ “วงแหวนแห่งไฟ” ที่หลายๆคนรู้จักกันดี ซึ่งมากกว่าร้อยละ 75% ของภูเขาไฟทั้งหมดบนโลก หรือประมาณ 850 ลูก ที่ยังมีพลังอยู่ (Active Volcanoes) และครอบคลุมถึง 31 ประเทศด้วยกัน ตั้งแต่ทวีปออสเตรเลีย ทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกา ทวีปอเมริกาเหนือ และมักจะก่อให้เกิดแผ่นดินไหวถึง 90% บนโลก ยังไม่นับแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่เคยเกิดขึ้นอีก 80%
 
ภูเขาไฟต่างประเทศและเป็นภูเขาไฟดังๆที่หลายๆคนอาจเคยได้ยินชื่ออยู่บ้าง เช่น ภูเขาไฟตองกา ภูเขาไฟฟูจิ ภูเขาไฟคองโก ภูเขาไฟกรากะตัว ภูเขาไฟซีนาบุง ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็นภูเขาไฟที่ยัง Active อยู่  ทีนี้เราย้อนกลับมาดูข้อมูลภูเขาไฟในประเทศไทยกันบ้าง เพราะมีภูเขาไฟที่เคยปะทุในไทย และภูเขาไฟที่ดับแล้วเช่นกัน แต่จะมีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหนกันนะ ที่ภูเขาไฟของไทยเราจะปะทุขึ้นมาอีก ก่อนอื่นเราทำความรู้จักการกำเนิดภูเขาไฟเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อย ภูเขาไฟคืออะไร ภูเขาไฟเกิดจากอะไร และชนิดภูเขาไฟในประเทศไทย 
 
ภูเขาไฟคือ ภูเขาที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก มีหินหนืดอยู่ใต้เปลือกโลก ในอุณหภูมิสูงมาก จนเกิดแรงดันและการกระแทกแทรกตัวตามรอยแยกขึ้นสู่ผิวโลก โดยมีแรงปะทุหรือแรงระเบิดผลักดันหินหนืดที่ร้อนจัด ไอน้ำ เศษหิน ฝุ่นละออง และก๊าซต่างๆ เช่น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2)  ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ (CO) ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) และ ก๊าซไนโตรเจน (N2) เป็นต้น พุ่งออกมาจากปล่องภูเขาไฟ ซึ่งหินหนืดที่พุ่งออกมานี้คือ “ลาวา” (LAVA) แต่หินหนืดที่ยังไม่ออกสู่พื้นผิวโลก เรียกว่า “แมกมา” (Magma)
 
เราสามารถเรียกภูเขาไฟภาษาอังกฤษว่า Volcano โดยภูเขาไฟจะมี 3 ลักษณะ ดังต่อไปนี้ 
 
ภูเขาไฟมีพลัง (Active Volcanoes) เป็นภูเขาไฟที่เพิ่งเกิดการปะทุหรืออาจปะทุในอนาคต
ภูเขาไฟสงบ (Dormant Volcanoes) เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่มีการปะทุ แต่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต 
ภูเขาไฟดับสนิท (Extinct Volcanoes) ภูเขาไฟที่จะไม่เกิดการปะทุขึ้นอีกเลย 
และยังสามารถแบ่งตามรูปร่างลักษณะได้อีก 4 ประเภท ดังนี้ 
 
ภูเขาไฟแบบกรวยสูง (Steep cone) 
ภูเขาไฟแบบโล่ (Shield Volcano) 
ภูเขาไฟแบบกรวยกรวด (Ash and cinder cone)
ภูเขาไฟแบบสลับชั้น (Composite cone) 
 
ภูเขาไฟในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเป็นภูเขาไฟแบบโล่ และเป็นภูเขาไฟดับแล้ว  แม้ว่าจะเคยเกิดการระเบิดมาก่อน แต่นั้นก็ผ่านมานานมากกว่าหมื่นปีแล้ว แต่ก็ยังภูเขาไฟอายุน้อยๆหลงเหลืออยู่บ้าง ตัวอย่างภูเขาไฟที่ว่านี้ เช่น  ภูเขาไฟใน จ.บุรีรัมย์  ภูเขาไฟดอยผาคอกหินฟู จ.ลำปาง เป็นต้น ซึ่งเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วแต่ก็มีโอกาสที่อาจปะทุขึ้นได้อีก แม้ว่าจะน้อยมากๆก็ตาม เพราะไม่ได้อยู่แนวมุดตัวเหมือนภูเขาไฟ จ.เลย และ จังหวัดเพชรบูรณ์ ทำให้นักวิชาการและนักวิจัยเชื่อมั่น ว่าหากเกิดการระเบิดของภูเขาไฟการป้องกันสำหรับในประเทศไทย คาดว่าจะสามารถทำได้โดยไม่น่ากังวล
 
แต่ที่น่ากังวลและควรเฝ้าระวังคือ ภูเขาไฟใต้ทะเลลูกเล็กที่เกาะบาแรน หรือภูเขาไฟชื่อ Barren Island ใกล้กับเกาะนิโคบาร์ มหาสมุทรอินเดีย ซึ่งห่างจากประเทศไทยเพียง 700 กิโลเมตร ทางฝั่งอันดามัน ด้านจังหวัดระนอง ภูเก็ต และพังงา พบว่าภูเขาไฟลูกนี้ยังคงปลดปล่อยพลังงานอยู่เป็นระยะๆ และอาจมีโอกาสที่จะปะทุ ทำให้เกิดแผ่นดินไหว และเกิดสึนามิตามขึ้นมาได้ แต่ก็อาจมาไม่ถึงประเทศไทย แต่นั่นก็ให้คำตอบที่ชัดเจนไม่ได้ว่าจะไม่เกิดขึ้น เพราะเป็นภูเขาไฟอีกจุดหนึ่งที่ต้องเฝ้าระวัง ด้วยภูมิศาสตร์และการทับซ้อนตามแนวรอยเลื่อนของเปลือกโลก และมีภูเขาไฟที่มีพลังกระจายตัวรอบๆ ไทยจึงต้องเตรียมพร้อมและคอยตรวจสอบเตือนภัย รวมถึงการให้ความรู้ในการอพยพ การขนย้ายผู้ป่วยและสัตว์เลี้ยง 
 
ภูเขาไฟที่ดับแล้วในไทยจะมีด้วยกัน 8 แห่ง โดยจะเป็นภูเขาไฟจ.บุรีรัมย์ 6 แห่งด้วยกัน ได้แก่ ภูเขาไฟหินพนมรุ้ง ภูเขาไฟหินหลุบ ภูเขาไฟคอก ภูเขาไฟอังคาร ภูเขาไฟไปรบัด ภูเขาไฟกระโดง จ.บุรีรัมย์ และอีก 2 แห่งคือ ภูเขาไฟดอยผาคอกหินฟู และ ภูเขาไฟดอยผาดอกจำปาแดด 
 
  • ภูเขาไฟหินพนมรุ้ง ต.ตาเป๊ก อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์  เป็นภูเขาไฟหินบะซอลต์แบบกรวยลาวา มีลักษณะรูปร่างคล้ายชาม มีจุดที่สูงที่สุด 386 เมตร จากระดับน้ำทะเล และสูงจากที่ราบโดยรอบประมาณ 180 เมตร ความกว้างของปากปล่องของศูนย์กลางเนินภูเขาไฟ ราวๆ 300 เมตร และคาดว่าภูเขาไฟลูกนี้น่าจะดับมาแล้วกว่า 1.2 ล้านปี                                                                                  
  • ภูเขาไฟหินหลุบ อ.เฉลิมพระเกียรติ ภูเขาไฟจะมีร่องรอยปากปล่องรูปโค้งยาว จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จักมากนัก แต่เป็นแหล่งเรียนรู้ด้านธรณีวิทยา เรื่องภูเขาไฟในไทย                                                       
  • ภูเขาไฟเขาคอก อ.ประโคนชัย แม้จะไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก แต่ก็เป็นแหล่งกำเนิดห้วยเสว และไว้สำหรับเรียนรู้ด้านธรณีวิทยา                                                                                   
  • ภูเขาไฟอังคาร ต.เจริญสุข อ.เฉลิมพระเกียรติ จ.บุรีรัมย์ หรือภูพระอังคาร ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากภูเขาไฟพนมรุ้ง มีวัดเขาพระอังคารตั้งอยู่บนยอดเขา ศาสนสถานที่สวยงามและเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ขึ้นชื่อ 
  • ภูเขาไฟกระโดง ต.เสม็ด อ.เมือง จ.บุรีรัมย์ เป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว รายล้อมไปด้วยป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ และเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าขนาดเล็กนานาชนิด นอกจากนี้ยังมีโบราณสถานสมัยขอม พระพุทธรูปขนาดใหญ่ เป็นที่เคารพสักการะของคนในท้องถิ่น                                                       
  • ภูเขาไฟไบรบัด จ.บุรีรัมย์ ส่วนใหญ่จะเป็นซากภูเขาไฟที่มีช่องปล่องปะทุชัดเจน ซึ่งเนินจะเกิดจากการทับถมของเศษหินภูเขาไฟ จากแรงดันของก๊าซต่างๆ อย่าง ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไนโตรเจน ซัลเฟอร์ไฮออกไซด์ รวมไปถึงไอน้ำ และเศษหินต่างๆ ที่หลอมละลายแล้วถูกดันขึ้นไปปะทุ จนกระทั่งเย็นและแข็งตัวในอากาศ                                                   
  • ภูเขาไฟดอยผาคอกจำปาแดด จ.ลาปาง เป็นภูเขาไฟที่ดับสนิท ไม่มีการระเบิดอีกแล้ว โดยได้รับการยืนยันจาก ดร.เปียร์ ซอเรนซน ผู้อำนวยการสถาบันสแกนดิเนเวีย ที่ได้ทำการศึกษาค้นคว้าร่องรอยก่อนประวัติศาสตร์ ภูเขาลูกนี้มีความสูงเหนือระดับน้ำทะเล 630 เมตร ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้ยืนต้นหลายชนิด และไม่สามารถเดินทางขึ้นไปได้ด้วยทางเดินรถ
  • ภูเขาไฟดอยหินคอกผาฟู จ.ลำปาง ถูกตั้งชื่อจากชาวบ้านที่อาศัยในบริเวณแถบน้้น โดยความหมายภูเขาไฟลูกนี้จะสอดคล้องกับลักษณะของปล่อง เป็นชนิดภูเขาไฟชั้นหินลาวา หรือหินบะซอลต์ ที่ซ้อนทับกันเป็นชั้นๆ ด้วยปากปล่องภูเขาไฟมีบริเวณกว้าง และถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้ทั่วไป จนไม่สามารถแยกออกได้ว่าเป็นภูเขาไฟมาก่อน
**ภูเขาไฟดอยผาคอกจำปาแดด และ ภูเขาไฟดอยหินคอกผาฟู จะตั้งอยู่ไม่ไกลกัน โดยอยู่กันลูกละฝั่งถนน เพราะภูเขาไฟในไทยจะเป็นชนิดภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้ว อาจไม่ได้เห็นความยิ่งใหญ่อลังการ ความสวยงามที่แฝงไปด้วยความน่ากลัว เหมือนๆอย่างภูเขาไฟต่างประเทศ แต่เชื่อว่าหลายๆคนคงยินดีที่มันเป็นภูเขาไฟที่ดับสนิทแล้วอย่างนี้มากกว่า แต่!! เราก็ไม่สามารถควบคุมธรรมชาติได้ ดังนั้นการไม่ประมาทจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้รอดพ้นสถานการณ์เลวร้ายได้มากกว่าความประมาทอย่างแน่นอน
 
สิ่งสำคัญในการเอาตัวรอดเมื่อเกิดสถานการณ์ ภูเขาไฟระเบิด แผ่นดินไหว และสึนามิ อย่า!!ฝากความหวังไว้กับระบบเตือนภัย 100% เพราะต่อให้ผ่านการฝึกซ้อมมามากแค่ไหน แต่เมื่อเกิดสถานการณ์จริง ระบบเตือนภัยก็อาจทำงานหรือไม่ทำงานก็ได้ 

บทความอื่นๆ

สินค้าใหม่