ปัจจุบันบริษัทประกันภัยได้เพิ่มทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการเซฟเงินจากประกันชั้น 1 ที่มีค่าเบี้ยประกันสูงสุด มาเป็นประกันชั้น 2+ ที่มีความคุ้มครองใกล้เคียงกัน แต่ค่าเบี้ยประกันถูกกว่ากันมาก ทำให้หลายคนเลือกทำประกันชั้น 2+ โดยไม่พิจารณาถึงความคุ้มครองอย่างรอบคอบเท่าที่ควร กลายเป็นว่าต้องเสียเงินเพิ่มเติมโดยใช่เหตุได้
1. ต้องมีคู่กรณีเท่านั้นจึงจะเคลมได้
กรณีประสบอุบัติเหตุโดยเป็นฝ่ายถูก อันนี้คงไม่มีปัญหาอะไรนัก เพราะคู่กรณีจำเป็นต้องชดใช้ให้เราอยู่แล้ว แต่หากเป็นฝ่ายผิดแล้วล่ะก็ เงื่อนไขประกันชั้น 2+ ระบุว่าคู่กรณีจะต้องเป็นพาหนะที่สามารถจดทะเบียนกับกรมการขนส่งเท่านั้น (เช่น รถยนต์, รถจักรยานยนต์, รถบรรทุก ฯลฯ) จึงจะสามารถเคลมได้ ซึ่งความเป็นจริงแล้วบนท้องถนนมีโอกาสไม่น้อยที่จะประสบอุบัติเหตุกับสิ่งแวดล้อมอื่นๆ เช่น ฟุตบาท, ต้นไม้, เสาไฟฟ้า, อาคารบ้านเรือน ฯลฯ เหล่านี้ประกันชั้น 2 จะไม่ให้ความคุ้มครอง นอกจากจะต้องจ่ายค่าซ่อมรถเองทั้งหมดแล้ว ก็ยังต้องชดใช้ความเสียหายต่อทรัพย์สินภายนอกทั้งหมดเองด้วย (เว้นแต่ความคุ้มครองต่อบุคคลภายนอก ทั้งชีวิต ร่างกายและทรัพย์สิน ค่าเสียหาย ค่ารักษาพยาบาล ยังคงให้ความคุ้มครองตามปกติ อันนี้ไม่ต้องกังวลแต่อย่างใด)
2. ถูกชนแล้วหนีอาจเคลมไม่ได้
กรณีรถถูกชนแล้วหนี ไม่ว่าผู้เอาประกันจะอยู่ในรถขณะเกิดเหตุ หรือจอดรถทิ้งเอาไว้ก็ตาม หากไม่สามารถพิสูจน์ทราบถึงเลขทะเบียนของรถคู่กรณีได้ ก็ไม่สามารถเคลมประกันได้เช่นกัน ดังนั้นการติดกล้องหน้ารถจึงมีความจำเป็นสำหรับรถที่ทำประกันชั้น 2+ เพื่อให้การตรวจสอบคู่กรณีทำได้ง่ายขึ้น
3. ทุนประกันภัยต่ำกว่าชั้น 1
นอกจากความคุ้มครองจะน้อยกว่า ทุนประกันของประกันภัยชั้น 2+ ก็ต่ำกว่าประกันชั้น 1 ด้วยเช่นกัน หากประสบเหตุชนหนัก อาจจะต้องควักกระเป๋าจ่ายส่วนต่างเวลาซ่อมรถ กลับกลายเป็นว่าประหยัดเงินค่าเบี้ยประกันได้หลักพัน แต่ต้องเพิ่มเงินหลักหมื่นเพื่อเป็นส่วนต่างค่าซ่อมรถให้กลับมาสมบูรณ์เหมือนเดิม
ดังนั้น หากคุณกำลังลังเลระหว่างประกันชั้น 1 และประกันชั้น 2+ อยู่แล้วล่ะก็ ควรพิจารณาถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นตลอดอายุกรมธรรม์ หากรู้ตัวว่าขับรถประสบอุบัติเหตุบ่อย เฉี่ยวนั่นนี่อยู่เป็นประจำ การใช้ประกันชั้น 2+ ก็อาจไม่ใช่ตัวเลือกที่เหมาะสมนัก แต่หากขับรถปลอดภัยอยู่แล้ว ไม่เคยมีประวัติการเคลม หรือเคลมน้อยมากๆ การเลือกประกันชั้น 2+ ก็จะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าได้ครับ |